1.Socail Network คือ
Social Network คือการที่ผู้คนสามารถทำความรู้จัก และเชื่อมโยงกันในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง หากเป็นเว็บไซต์ที่เรียกว่าเป็น เว็บ Social Network ก็คือเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงผู้คนไว้ด้วยกันนั่นเอง ตัวอย่างของเว็บประเภทที่เป็น Social Network เช่น Digg.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่เรียกได้ว่าเป็น Social Bookmark ที่ได้รับความนิยมอีกแห่งหนึ่ง และเหมาะมาก ที่จะนำมาเป็นตัวอย่าง เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น โดยในเว็บไซต์ Digg นี้ ผู้คนจะช่วยกันแนะนำ url ที่น่าสนใจเข้ามาในเว็บ และผู้อ่านก็จะมาช่วยกันให้คะแนน url หรือข่าวนั้น ๆ เป็นต้น สำหรับตัวอย่าง Social Network อื่น ๆ เช่น Hi5 หรือว่า Facebook ซึ่งเรียกได้ว่าเป็น social network เต็มรูปแบบอีกอย่างหนึ่ง ที่ให้ผู้คนได้มามีพื้นที่ ได้ทำความรู้จักกันโดยเลือกได้ว่า ต้องการทำความรู้จักกับใคร หรือเป็นเพื่อนกับใครเมื่อหันมามองเว็บไซต์ไทย ๆ กันดูบ้าง หากมองว่าเว็บไซต์ Social Network ในไทย จะมีเว็บไหนได้บ้าง ลองดูเว็บไซต์ Social Network ที่มีความชัดเจนในเนื้อหาเฉพาะด้าน เช่น Social Network เรื่องท่องเที่ยว อย่างเว็บไซต์ odoza (โอโดซ่า) ที่ให้คนที่ชื่นชอบในเรื่องท่องเที่ยว ได้มาทำความรู้จักกัน ได้มีพื้นที่ให้ share รูปภ าพ หรือวีดีโอคลิป ที่ตนเองได้ไปเที่ยวมาได้
2.ความเป็นมาของ Socail Network
อิทธิพลของSocial networkในประเทศไทย
ในปัจจุบันสื่อประเภทใหม่ที่เข้ามามีอิทธิพลกับสังคมไทยอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีชื่อว่า Social network ทุกคนคงสงสัยว่า Social network คืออะไร แล้วเข้ามีอิทธิพลอย่างไร อย่างที่ปรากฏในข่าวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ มาร์คV11 ผัวยิงเมียเสียชีวิต เพราะ Facebook เป็นเหตุ หรือแม้แต่ประเด็นที่ภาพยนตร์โฆษณาที่ชื่อว่า ขอโทษประเทศไทย โดนแบนห้ามออกอากาศ แต่กลับได้รับความสนใจจาก Social network มีผู้เข้าชมจากวันที่ 17 – 19 กรกฏาคมมากถึงสามแสนคน ซึ่งอิทธิพลของ Social network ในประเทศไทยพึ่งเคยเกิดขึ้นหรือเคยเกิดขึ้นมานานแล้วแต่สังคมไทยไม่เคยที่จะเรียนรู้จากปัญหาที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีตหรือเปล่า แล้วมีวิธี แก้ไข ป้องกัน อิทธิพลของ Social network มีหรือเปล่า เนื่องจากการใช้งานอินเตอร์เน็ตที่คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายมากและการใช้งานอีเมล์ในการรับส่งข้อมูลกันอย่างแพร่หลายเพิ่มมากยิ่งขึ้นทำให้เกิดการสร้างกลุ่มของคนที่สนใจในเรื่องๆเดียวกันได้เริ่มมีการสร้างเว็ปไซต์ที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะกลุ่มขึ้นมา ในส่วนของ Social network ได้เกิดขึ้นจากการสร้างเว็ปไซต์ของนักเรียนที่เรียนที่เดียวกัน หรืออาจจะเรียกง่ายๆว่าเป็นเว็ปไซต์ของนักเรียนรุ่นหนึ่ง ซึ่งมีเพื่อสร้างประวัติ ข้อมูล ติดต่อสื่อสาร ส่งข้อความ และแลกเปลี่ยนข้อมูลที่สนใจร่วมกันระหว่างเพื่อนในลิสต์เท่านั้น อาจจะเรียกได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของ Social network ซึ่งจากจุดเริ่มต้นเมื่อปี1995 นั้น ทำให้เกิดการพัฒนาเว็ปไซต์ประเภท Social network อย่างรวดเร็วhttp://en.wikipedia.org/wiki/Social_network) อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เว็ปไซต์ประเภท Social network เติบโตอย่างรวดเร็วคือการนำเอารายชื่ออีเมล์ของบุคคลที่เราติดต่อในอีเมล์ส่วนตัวของเรานำไปค้นหาว่ามีใครใช้เว็ปไซต์ประเภท Social network นั้นหรือไม่ ถ้ามีก็สามารถเพิ่มเพื่อนหรือแอดเข้าไปขอเป็นเพื่อนได้อย่างง่ายดาย
ประเทศไทยได้มีการเริ่มเข้ามาของเวปไซต์ประเภท Social network โดยทุกคนอาจจะเคยจำได้ว่า www.hi5.com เป็นเวปไซต์ประเภท Social network ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยสูงมาก ซึ่งในช่วงต้นนั้น hi5 ได้รับความนิยมจากกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ที่มีความรู้ภาษาอังกฤษเท่านั้นเนื่องจากในช่วงนั้นทาง hi5 มีเมนูเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น ซึ่งต่อมาhi5ได้มีการพัฒนาให้มีเมนูภาษาไทยขึ้นมา ทำให้ hi5 ได้รับความนิยมสูงมากในประเทศไทย มีผู้ใช้เป็นจำนวนมากกว่าหนึ่งล้านคนในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี ซึ่งในยุคนั้นทุกคนก็ให้ความสำคัญกับเวปไซต์ดังกล่าวค่อนข้างมากเพราะหลังจากการได้รับความนิยมที่สูงทำให้เกิดการนำเอา hi5 มาใช้ในการทำผิดกฏหมายในรูปแบบต่างๆ อย่างเช่นที่ปรากฏในข่าว รวบพระขอนแก่นหื่น แชท hi5 ลวงสาวข่มขืน พระหนึ่งให้การรับสารภาพว่า ได้เข้าไปเล่นอินเตอร์เน็ตในโปรแกรม hi5 ก่อนที่จะรู้จัก น.ส.น้ำ ซึ่งเป็นชาว จ.ชัยภูมิ มานานกว่า 2 สัปดาห์ จึงนัดกันมาพบที่ จ.ขอนแก่น และนำเข้าพักภายในวัดก่อนที่จะลงมือข่มขืน จนมาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าวจับกุมตัว (ที่มา http://hilight.kapook.com/view/21288)ซึ่งในประเทศไทยมีความทรงจำเกี่ยวกับอิทธิพลของ Social network ที่มีชื่อว่า HI5 มาแล้วทุกคนอาจจะลืมไปแล้วว่าHI5ทำให้เกิดปัญหาในสังคมไทยอย่างมากมาย แล้วทุกคนก็มาบอกว่า Facebook กำลังจะบ่อนทำลายสังคมไทย ทั้งที่ทุกคนก็เคยมีประสบการณ์จากในอดีตมาแล้ว แต่สังคมไทยก็ไม่มีการเรียนรู้จากปัญหาที่เคยเกิดขึ้น แต่กลับมากล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่จาก Facebook
ต่อมาหลังจากการที่กระแสของhi5เริ่มลดลงทำให้กลุ่มผู้ใช้งานเวปไซต์ดังกล่าวได้เปลี่ยนไปใช้งานเวปไซต์www.Facebook.com ซึ่งการเข้ามาของ Facebook ในประเทศไทยเมื่อปี 2006 นั้นเริ่มมีการแพร่หลายในกลุ่มของนักศึกษาที่เรียนอยู่ในต่างประเทศ และเริ่มขยายตัวเข้ามาในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ที่มีความรู้ภาษาอังกฤษเท่านั้นเนื่องจากในช่วงนั้นทาง Facebook มีเมนูเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่ความแตกต่างที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ Facebook มีแอปพิเคชั่นที่หลากหลายมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับ hi5 ซึ่ง แอปพิเคชั่นที่หลากหลายอาทิเช่นเกมที่มีให้เลือกเล่นมากกว่า หนึ่งร้อยเกม ซึ่งในปัจจุบันเกมที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็น Framville ที่สมาชิกของFacebookเรียกกันเป็นภาษาไทยว่า เกมปลูกผัก หรือเกม Café world ที่ได้รับความนิยมสูงมาก ในส่วนของแอปพิเคชั่นที่มีชื่อว่า friend for sale ที่สามารถซื้อเพื่อนของตนเองมาไว้กับตนเองและสามารถสั่งให้ไปทำงานตามที่สั่งได้อย่างเช่นสั่งให้ไปล้างห้องน้ำ ให้ไปแกล้งบุคคลอื่น ยังไม่รวมไปถึงการสนทนาส่วนตัวใน Facebook ที่มีการแชทกันได้ใน Facebook
Facebook เป็นเว็บไซต์เครือข่ายสังคมเปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2004 และ Facebook ก่อตั้งโดย Mark Zuckerberg ผู้ใช้สามารถเพิ่มคนเป็นเพื่อนและส่งข้อความและ update โปรไฟล์ส่วนตัวของพวกเขาเพื่อแจ้งเพื่อน ๆ เกี่ยวกับตัวเอง นอกจากนี้ผู้ใช้สามารถเข้าร่วมเครือข่าย Facebook ได้พบกับการถูกบล็อกในหลายประเทศรวมทั้งปากีสถาน ซีเรีย จีน เวียดนาม และอิหร่าน Facebook ได้รับการห้ามใช้สถานที่ทำงานเพื่อเป็นการไม่ให้พนักงานสูญเสียเวลาในการทำงาน Facebook ความเป็นส่วนตัวยังเป็นปัญหาและได้รับการโจมตีหลายครั้ง (ที่มาhttp://en.wikipedia.org/wiki/Facebook) ด้วยระยะเวลาเพียง 6 ปี เว็บไซต์นี้ในปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากกว่า 400 ล้านทั่วโลก จากการเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วของผู้ใช้งาน Facebook ทำให้เกิดปัญหากับสังคมที่มากขึ้นตามจำนวนของผู้ใช้งาน
Facebookยังกลายเป็นที่มาของการ เกลียดชัง ทะเลาะเบาะแว้งระหว่างคู่สมรสกันบ่อยครั้งมาก และหลายๆ กรณีก็กลายเป็นเรื่องถึงขั้นฟ้องร้องตั้งแต่เรียกค่าเสียหายเรื่อยไปจนถึง การฟ้องหย่ากันในที่สุด ข้อมูลที่ถูกนำมาใช้มีตั้งแต่ ภาพใน Facebookทั้งของเจ้าตัว และของชายชู้หรือเมียน้อย ในบางกรณี ผู้เป็นสามีอาจบล็อกภรรยาจากการเข้าถึงหน้าFacebookของตนเอง แต่กลับไม่มีการบล็อก Facebook ของผู้เป็นเมียน้อย หรือในบางกรณี ลูกๆ ที่ถูกขอให้จัดการบล็อกหน้า Facebook ให้ก็กลายเป็นพยานชั้นหนึ่งสำหรับการฟ้อง หย่า นอกจากนั้นแล้ว ภาพและข้อมูลใน Facebook ยังนิยมนำมาใช้ในคดีเกี่ยวกับการอ้างสิทธิในการเลี้ยง ดูบุตรอีกด้วย (ที่มาhttp://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1278580032&grpid&catid=06) ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศสหรัฐอเมริกานั้นเป็นตัวอย่างของการที่ อิทธิพลของFacebook ทำให้เกิดปัญหาสังคม ในประเทศไทยเองก็เริ่มที่จะมีปัญหาในลักษณะเดียวกับในประเทศสหรัฐอเมริกา อย่างในข่าว ผัวยิงเมียเสียชีวิต เพราะ Facebook เป็นเหตุ ผัวหึงโหดเห็นเมียนั่งแชทหน้าคอมฯ กับชายอื่น ระแวงกลัวเมียปันใจ ย่องเข้าบ้านแม่ยายขโมยปืนยิงหัวดับทั้งคู่(ที่มาhttp://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=561&contentID=78758)
ซึ่งในปัจจุบัน Facebookเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในประเทศมากยิ่งขึ้นอย่างเช่นในข่าว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ติดใจกรณีที่ มาร์ค V11 นายวิทวัส ท้าวคำลือ ผู้สมัคร เข้าแข่งขันรายการอะคาเดมี่ แฟนเทเชีย ที่วิพากษ์วิจารณ์ตัวเอง ผ่านทางเครือข่ายออนไลน์ Facebook โดยเห็นว่า การถูกวิพากษ์วิจารณ์นั้น เป็นเรื่องที่ปกติ แต่หากมีการใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม ก็เห็นว่า เป็นการไม่สมควร ทั้งนี้หากเจ้าตัวกลับไปคิดและรู้สึกตัวแล้ว ก็เป็นเรื่องที่ดี ซึ่งไม่จำเป็นต้องเข้ามาขอขมา(ที่มาhttp://news.impaqmsn.com/articles.aspx?id=343662&ch=pl1) ซึ่งปัญหาดังกล่าวสิ่งที่นายวิทวัส ท้าวคำลือได้มีการลงข้อความบนกระดาษFacebookของตนองตั้งแต่เมื่อเดือนพฤษภาคม โดยไม่ได้คิดว่าจะมีผลกับตนเองอย่างที่เกิดขึ้น เพราะการลงภาพหรือข้อความต่างๆลงบนFacebookนั้นไม่ได้มีความเป็นส่วนตัวเพราะคนที่เป็นเพื่อนของคุณทั้งหมดสามารถอ่านข้อความต่างๆที่คุณได้ลงเอาไว้บนกระดานของตัวคุณเองรวมไปถึงรูปภาพต่างๆ
รูปภาพที่มีการนำลงไปในFacebookของแต่ละคนบางภาพอาจจะเป็นภาพที่ไม่เหมาะสม แต่การนำเอาไปลงบนFacebookแล้วนั้นเป็นเผยแพร่ไปสู่คนจำนวนมาก บางครั้งภาพของผู้หญิงที่ดูไม่เหมาะสมอย่างเช่นการถ่ายภาพตนเองกำลังเมาสุรา ภาพของตนเองกับบุคคลอื่นในเชิงชู้สาว ภาพของตนเองนุ่งน้อยห่มน้อย ภาพที่ลงบนFacebookอาจจะกลับมาทำร้ายคุณอย่างที่ มาร์ค V11 นายวิทวัส ท้าวคำลือ ประสบอยู่ก็เป็นไปได้
ในช่วงที่ประเทศไทยเกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งในช่วงเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมานั้น Facebook เป็นช่องทางในการสื่อสารที่ทำให้เกิดกระแสในความเข้าใจผิดในเรื่องของข่าวต่างๆไม่ว่าจะเป็นข่าวของฝ่ายใด เพราะมีการบอกต่อกันอย่างรวดเร็วในFacebookว่าเกิดอะไรขึ้นที่ไหนอย่างไร ข่าวที่เห็นบนFacebookถ้าไม่มีlinkของสำนักข่าวที่เชื่อถือได้ ข่าวนั้นก็ไม่น่าเชื่อถือแต่คนทั่วไปนั้นไม่ได้สนใจหลงเชื่อไปกับทุกข่าวที่มีอยู่บนFacebookซึ่งข่าวที่อยู่บนFacebookนั้นแตกต่างกับข่าวของสำนักข่าวต่างๆเพราะทุกสำนักข่าวนั้นจะมีกองบรรณาธิการหรือผู้กรองข่าว(Gatekeeper)แต่ข่าวที่อยู่บนFacebookไม่มีการกรองข่าว ถ้าผู้ใช้งานไม่มีการเช็คข่าวสารก่อนว่าเป็นความจริงหรือไม่ก็จะปักใจหลงเชื่อในข่าวนั้นๆมีการรวมตัวของกลุ่มต่างๆอย่างมากมาย เช่น กลุ่มมั่นใจว่าคนไทยเกิน 1 ล้าน ต่อต้านการยุบสภา กลุ่มอาสาสมัครฟื้นฟูประเทศไทย กลุ่มWatch Red Shirt ศูนย์ปฏิบัติการติดตามผู้ชุมนุมเสื้อแดง ซึ่งกลุ่มต่างๆที่ว่ามามีสมาชิกไม่น้อยกว่าหมื่นคน หรือแม้แต่การวมตัวของกลุ่มคนที่ชื่นชอบนักการเมือง อย่างเช่นของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีที่มีผู้เข้าร่วมถึงสี่แสนคน การรับเข้าร่วมในกลุ่มต่างๆนั้น ผู้ใช้งานส่วนใหญ่เข้าไปเป็นสมาชิกในกลุ่มต่างๆ โดยไม่ได้คิดอะไร แต่ผู้ก่อตั้งกลุ่มนั้นๆก็ใช้ประโยชน์จากการที่มีผู้เข้าร่วมกลุ่ม โดยอ้างถึงว่าภายในกลุ่มนั้นมีผู้สนับสนุนเป็นจำนวนมาก ทุกคนควรจะรับฟังความคิดเห็นของกลุ่มนั้น โดยที่ผู้เข้าร่วมในกลุ่มไม่ทราบว่ามีการกล่าวอ้างถึงกลุ่มที่ตนเองเป็นสมาชิกอยู่
Facebook ก็เหมือนกันกับสิ่งอื่นที่เปรียบได้กับเหรียญที่มีอยู่สองด้าน ทั้งด้านที่ดีและด้านที่ไม่ดี อยู่ที่การนำมาใช้ของบุคคลนั้น ในด้านที่ดีนั้นตัวผมเองได้เปิด กลุ่ม COM ART BSRU ขึ้นมาเพื่อเป็นสื่อกลางระหว่างอาจารย์ผู้สอน นิสิต นักศึกษา เพื่อเป็นกลุ่มแห่งการเรียนรู้ ทางด้านนิเทศศาสตร์ มีการนำเอาผลงานของนักศึกษามาลงบนFacebook การทำมิวสิควีดีโอ การทำหนังสั้น เพื่อให้นักศึกษาได้มาแบ่งบันความคิดเห็น ให้นักศึกษาใหม่ได้เรียนรู้จากงานของรุ่นพี่ มีการให้คำปรึกษากับนักศึกษาโดยอาจารย์ผู้สอนจะมาตอบทุกคำถาม มีการนำเอางานประกวดที่เกี่ยวข้องมาชักชวนให้นักศึกษาเข้าร่วมงานประกวด เป็นพื้นที่ให้กับนักศึกษาได้มาพบเจอรุ่นพี่ รุ่นน้องเพื่อแนะนำเกี่ยวกับการเรียน กิจกรรม เทคนิคในการทำงานด้านนิเทศศาสตร์ มีการให้นักศึกษาส่งงานผ่านFacebook เนื่องจากนักศึกษาส่วนใหญ่มีFacebook กันอยู่แล้ว ตัวผู้สอนเองควรนำเทคโนโลยีการสื่อสาร ที่มีอยู่มาพัฒนาในการเรียนการสอนให้เพิ่มมากขึ้น
สุดท้ายแล้ว Facebook ก็ยังอยู่กับสังคมต่อไป และยังคงอิทธิพลกับสังคมไทยเพิ่มมากขึ้น แต่ปัญหาทุกอย่างจะไม่เกิดขึ้นถ้าผู้ใช้งานFacebookมีความคิดยับยั้งชั่งใจในการกระทำใดๆกับFacebook อย่างที่ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กล่าวว่า เวลานี้ อยากให้คนไทยใช้สติกันให้มาก เพราะสิ่งที่สังคมไทยขาดไม่ใช่ความรู้ หรือเงินทอง แต่สิ่งที่ขาดอย่างยิ่งคือสติ ความยับยั้งชั่งใจ ความมีเหตุมีผล ดังนั้น คุณธรรมที่จำเป็นที่สุดคืออยากให้คนไทยเจริญสติให้มากที่สุด ซึ่งจะทำให้รู้ว่าควรคิด พูด และแสดงออกอย่างถูกต้องพระมหาวุฒิชัย ยังแนะวิธีปฏิบัติเพื่อให้มีสติสำหรับประชาชนทั่วไป ว่า ควรยึดหลัก 3 ประการ คือ 1.เสพสื่อหลายช่องทาง เพื่อสร้างความยับยั้งชั่งใจและใช้ปัญญารอบด้าน จะได้ไม่ตกเป็นทาสขยะข้อมูล ปฏิกูลข่าวสาร หรือโฆษณาชวนเชื่อต่าง ๆ 2. เมื่อติดตามข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ แล้วต้องสังเกตตัวเองว่าตกไปสู่อารมณ์โกรธ เกลียด อาฆาตพยาบาท ฟุ้งซ่านจนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความรุนแรงหรือไม่ และ 3. เวลาแสดงออกทางสังคม ถ้าเป็นไปในทางที่สันติก็ถูกต้อง แต่หากเป็นไปในทิศทางที่เบียดเบียนคนอื่นแสดงว่าเป็นความผิดพลาดขาดสติ (ที่มาhttp://174.120.83.155/~spring/news_view.php?gid=1&id=710)
3. องค์ประกอบของ Socail Network
1. Profiles หัวใจสำคัญที่จะสร้างความน่าสนใจของเว็บไซต์ เป็นเหมือนห้องส่วนตัวให้ผู้ใช้แสดงความคิด ความรู้สึก อัพรูปภาพ ข้อมูลต่างๆ และแสดงความสามารถของตนให้เพื่อนๆ หรือคนอื่นได้ชม
เว็บไซต์ที่ได้รับนิยมมากๆ มักจะเน้น Profiles และความง่ายต่อการใช้งาน
2. Security ควรมีความปลอดภัยป้องกันข้อมูลส่วนตัว สามารถรายงานและบล็อกคนอื่นได้
3. Networking Features คุณลักษณะต่างๆ เช่น โพสต์ Profiles อัพรูปภาพ วีดิโอ เพลง ลิ้งค์ สร้างกลุ่มเพื่อน หรือ อัพข้อมูลอื่นๆ
4. Search สามารถค้นหาเพื่อน ขยายความสัมพันธ์ และค้นหาข้อมูลอื่นๆ ได้ เช่นค้นหาจาก ชื่อ ประเทศ เมือง โรงเรียน หรืออีเมล์แอดเดรส เว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมคือต้องมีความปลอดภัย และง่ายต่อการใช้งาน
5. Help/Support ต้องสามารถช่วยเหลือผู้ใช้งาน ในสิ่งที่ผู้ใช้งานต้องการ หรือผู้ใช้งานไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานถามและตอบคำถามผู้ใช้งาน
6. Legitimate Friend Focus เน้นการหาเพื่อนที่จริงใจ
4. ประเภทของ Social Network
1. Identity Network เผยแพร่ตัวตน ใช้สำหรับนำเสนอตัวตน และเผยแพร่เรื่องราวของตนเองทางอินเตอร์เน็ทสามารถสร้างอัลบั้มรูปของตัวเอง สร้างกลุ่มเพื่อน และสร้างเครือข่ายขึ้นมาได้ 2. Creative Network เผยแพร่ผลงาน สามารถนำเสนอผลงานของตัวเองได้ในรูปแบบของวีดีโอ ภาพ หรือเสียงเพลง 3. Interested Network ความสนใจตรงกัน Del.icio.us เป็น Online Bookmarking หรือ Social Bookmarking โดยเป็นการ Bookmark เว็บที่เราสนใจไว้บนอินเทอร์เน็ตสามารถแบ่งปันให้คนอื่นดูได้และยังสามารถบอกความนิยมของเว็บไซด์ต่างๆได้ โดยการดูจากจำนวนตัวเลขที่เว็บไซต์นั้นถูก Bookmark เอาไว้จากสมาชิกคนอื่นๆ Digg นั้นคล้ายกับ del.icio.us แต่จะมีให้ลงคะแนนแต่ละเว็บไซด์ และมีการ Comment ในแต่ละเรื่อง Zickr ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยคนไทย เป็นเว็บลักษณะเดียวกับ Digg แต่เป็นภาษาไทย 4. Collaboration Network ร่วมกันทำงาน คือเป็นการร่วมกันพัฒนาซอฟต์แวร์หรือส่วนต่างๆของซอฟต์แวร์ o • WikiPedia เเป็นสารานุกรมออนไลน์ขนาดใหญ่ที่รวบรวมความรู้ ข่าวสาร และเหตุการณ์ต่างๆ ไว้มากมาย o • ปัจจุบันเราสามารถใช้ Google Maps สร้างแผนที่ของตัวเอง หรือจะแบ่งปันแผนที่ให้คนอื่นได้ใช้ด้วย จึงทำให้มีสถานที่สำคัญ หรือสถานที่ต่างๆ ถูกปักหมุดเอาไว้ พร้อมกับข้อมูลของสถานที่นั้นๆ ไว้แสดงผลจากการค้นหา 5. Gaming/Virtual Reality โลกเสมือน สองตัวอย่างของโลกเสมือนนี้ มันก็คือเกมส์ออนไลน์นั่นเอง SecondLife เป็นโลกเสมือนจริง สามารถสร้างตัวละครโดยสมมุติให้เป็นตัวเราเองขึ้นมาได้ ใช้ชีวิตอยู่ในเกมส์ อยู่ในชุมชนเสมือน (Virtual Community) สามารถซื้อขายที่ดิน และหารายได้จากการทำกิจกรรมต่างๆ ได้ 6. Peer to Peer (P2P) P2P เป็นการเชื่อมต่อกันระหว่าง Client (เครื่องผู้ใช้, เครื่องลูกข่าย) กับ Client โดยตรง โปรแกรม Skype จึงได้นำหลักการนี้มาใช้เป็นโปรแกรมสนทนาผ่านอินเตอร์เน็ต และก็มี BitTorrent เกิดขึ้นมาเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดการแบ่งปันไฟล์ต่างๆ ได้อย่างกว้างขวาง และรวดเร็ว แต่ทว่ามันก็ก่อให้เกิดปัญหาเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ |
5. 10 อันดับ Social Network ที่ได้รับความนิยม
เว็บไซต์ในรูปแบบ Social Network มาแรงพร้อมกับกระแส Web 2.0 ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่เรียกได้ว่า สมาชิกของเว็บนั้นสร้างเนื้อหา ขึ้นมาเอง (user generated content) เรามาดูกันว่า เว็บไซต์แบบ Social Network ในโลกนี้ มีใครบ้างที่เป็นเว็บ
1. MySpace.com
2. FaceBook.com
3. Orkut.com
4. Hi5.com
5. Vkontakte.ru
6. Friendster.com
7. SkyRock.com
8. PerfSpot.com
9. Bebo.com
10. Studivz.netไซต์ Social Network ยอดนิยม
6. ประโยชน์ของ Socail Network
บริษัทต่างๆเริ่มหันมาใช้ Blog ในการประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการมากขึ้น เนื่องจากจัดการใช้งาน และอัพเดทให้ทันสมัยได้ง่าย อีกทั้งยังเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ดี เพราะ Blog ส่วนใหญ่จะสำรวจและแยกประเภทความสนใจของสมาชิกอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายที่ถูก และสามารถติดต่อสื่อสารระหว่างบริษัทกับลูกค้าผ่านข้อความแสดงความคิดเห็นได้อีกด้วย
7.ข้อดี ข้อเสีย ของ Socail Network
ข้อดีของ Social Network
สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ในสิ่งที่สนใจร่วมกันได้
เป็นคลังข้อมูลความรู้ขนาดย่อมเพราะเราสามารถเสนอและแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนความรู้ หรือตั้งคำถามในเรื่องต่างๆ เพื่อให้บุคคลอื่นที่สนใจหรือมีคำตอบได้ช่วยกันตอบ
ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารกับคนอื่น สะดวกและรวดเร็ว
เป็นสื่อในการนำเสนอผลงานของตัวเอง เช่น งานเขียน รูปภาพ วีดิโอต่างๆ เพื่อให้ผู้อื่นได้เข้ามารับชมและแสดงความคิดเห็น
ใช้เป็นสื่อในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือบริการลูกค้าสำหรับบริษัทและองค์กรต่างๆ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า
ช่วยสร้างผลงานและรายได้ให้แก่ผู้ใช้งาน เกิดการจ้างงานแบบใหม่ๆ ขึ้น
ข้อเสียของ Social Network
เป็นช่องทางในการถูกละเมิดลิขสิทธิ์ ขโมยผลงาน หรือถูกแอบอ้าง เพราะ Social Network Service เป็นสื่อในการเผยแพร่ผลงาน รูปภาพต่างๆ ของเราให้บุคคลอื่นได้ดูและแสดงความคิดเห็น
ข้อมูลที่ต้องกรอกเพื่อสมัครสมาชิกและแสดงบนเว็บไซต์ในรูปแบบ Social Network ยากแก่การตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ ดังนั้นอาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับเว็บไซต์ที่กำหนดอายุการสมัครสมาชิก หรือการถูกหลอกโดยบุคคลที่ไม่มีตัวตนได้
เป็นช่องทางในการถูกละเมิดลิขสิทธิ์ ขโมยผลงาน หรือถูกแอบอ้าง เพราะ Social Network Service เป็นสื่อในการเผยแพร่ผลงาน รูปภาพต่างๆ ของเราให้บุคคลอื่นได้ดูและแสดงความคิดเห็น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น